การค้าขายทองคำในยุคแรก สภาพปัญหา และพัฒนาการของตลาดค้าทองคำของไทย
ในอดีต วงการค้าทองคำ จะเป็นลักษณะต่างคนต่างทำ ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการประกอบการค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้เปอร์เซ็นต์ทอง โดยผู้ค้าทองบางรายผลิตทอง 99% บางรายก็ผลิตทอง 97% มีการแข่งขันโดยการทำการตลาด เรื่องค่ากำเหน็จ การแจกของชำร่วย การกำหนดเวลาเปิด - ปิดร้าน ฯลฯ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ควรได้รับการแก้ไข
กำเนิด “ชมรมร้านค้าทอง 11 ห้าง”
เมื่อสภาพปัญหาดังกล่าวได้เริ่มรุนแรงมากขึ้น ทางผู้ประกอบการร้านค้าทองรายใหญ่ในย่านถนนเยาวราช จึงได้มาร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อให้การแข่งขันมีความเสมอภาค พร้อมทั้งกำหนดมาตรฐานการค้าทองร่วมกัน โดยที่ประชุมเห็นควรที่จะจัดรวมกลุ่มให้เข้มแข็งขึ้น โดยจัดตั้งเป็นชมรมภายใต้ชื่อ “ชมรมร้านค้าทอง 11 ห้าง”
การก่อตั้ง “สมาคมค้าทองคำ” และผลงานของสมาคมค้าทองคำ
“ชมรมร้านค้าทอง 11 ห้าง” ได้มุ่งมั่นพัฒนาการทำการค้า และความร่วมมือกันในเรื่องต่าง ๆ เมื่อการค้ามีการพัฒนามากขึ้น ภาครัฐจึงนำกฎระเบียบต่าง ๆ เข้ามาบังคับใช้ในการดำเนินธุรกิจ อาทิเช่น เรื่องการจัดเก็บภาษี ฯลฯ แกนนำในชมรมฯ จึงมีความเห็นว่าควรที่จะจัดตั้งเป็นสมาคมอย่างเป็นทางการ
จนกระทั่งปี พ.ศ.2526 ทางกลุ่มชมรมฯ ก็ได้ยื่นขอจดทะเบียน จัดตั้งเป็นสมาคมขึ้นภายใต้ชื่อ “สมาคมค้าทองคำ” เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2526 โดยสมาชิกสมาคมในระยะแรกประกอบด้วยร้านค้าทองในย่านเยาวราช และต่อมาได้มีสมาชิกที่ประกอบธุรกิจค้าทองคำจากทั่วประเทศเข้ามาเพิ่มเติมขึ้นเป็นลำดับ
วัตถุประสงค์ของสมาคมค้าทองคำ ดังต่อไปนี้
- ส่งเสริมการประกอบวิสาหกิจประเภทที่เกี่ยวกับ การค้าทองคำ
- สนับสนุนและช่วยเหลือสมาชิก แก้ไขอุปสรรคข้อขัดข้องต่าง ๆ รวมทั้งเจรจาทำความตกลงกับ บุคคลภายนอก เพื่อประโยชน์ร่วมกันในการประกอบวิสาหกิจของสมาชิก สอดส่องและติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดการค้าทองคำ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เพื่ออำนวยประโยชน์แก่การประกอบธุรกิจการค้าอุตสาหกรรมการเงิน หรือ เศรษฐกิจ
- ประสานความสามัคคี และแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นซึ่งกันและกันในทางวิชาการข่าวสารการค้า ตลอดจนการวิจัยเกี่ยวกับการตลาดการค้าทองคำ
- ขอสถิติ หรือเอกสาร หรือขอทราบข้อความใด ๆ จากสมาชิก เกี่ยวกับการดำเนินการค้าทองคำ ทั้งนี้ด้วยความยินยอมจากสมาชิก
- ส่งเสริมคุณภาพของทองคำที่สมาชิกเป็นผู้ผลิต หรือจำหน่ายให้เข้าสู่มาตรฐานที่ดี ตลอดจนวิจัยและปรับปรุงการผลิต และการค้าให้ได้ผลดียิ่งขึ้น
- ร่วมมือกับรัฐบาลในการส่งเสริมคุณภาพทองคำให้อยู่ในมาตรฐานที่ดี สอดคล้องกับนโยบายของทางราชการ
- ส่งเสริมการผลิตเพื่อให้ทองคำมีปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการของตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ
- ทำความตกลงหรือวางระเบียบให้สมาชิกปฏิบัติ หรืองดเว้นการปฏิบัติ เพื่อให้การประกอบวิสาหกิจของสมาชิกดำเนินการไปด้วยความเรียบร้อย
- ส่งเสริมพลานามัย กีฬา และจัดงานบันเทิงเป็นครั้งคราว
- ประนีประนอมข้อพิพาทระหว่างสมาชิก หรือระหว่างสมาชิกกับบุคคลภายนอกในการประกอบวิสาหกิจ
- ให้ความอนุเคราะห์แก่สมาชิกในด้านงานสวัสดิการ เท่าที่ไม่เป็นการต้องห้ามตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติสมาคมการค้าพุทธศักราช 2509
- ไม่ดำเนินการในทางการค้า หรือการเมืองอย่างใดทั้งสิ้น
ผลงานที่ผ่านมาของสมาคมค้าทองคำ
ด้านโครงสร้างภาษีอากร
ปัญหาโครงสร้างภาษีอากรนับเป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจค้าทองคำและมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง ซึ่งสมาคมฯ ได้มีบทบาทผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษี เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการค้าทองคำทั้งประเทศ
การเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีศุลกากร สำหรับการนำเข้าทองคำแท่ง
สืบเนื่องจากในสมัยก่อนการนำเข้าทองคำแท่งจะต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 35% ส่งผลให้มีการลักลอบนำทองคำเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยสมาคมฯ ให้มุมมองว่า ทองคำ เปรียบเสมือนเงินตรา และสามารถนำมาเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศได้เมื่อเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงเสนอรัฐบาลในขณะนั้นให้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีนำเข้าทองคำแท่ง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวของเศรษฐกิจ และเป็นแนวทางที่เป็นสากล จนรัฐบาลมีความเห็นที่สอดคล้องกัน และมีการปรับลดอัตราภาษีเหลือ 5% และต่อมาได้ ลดลงเหลือ 0% ในปี 2535 ซึ่งทำให้ประชาชนผู้บริโภค สามารถซื้อทองคำแท่งในราคาที่สะท้อนความเป็นจริงกับตลาดโลก ทำให้ตลาดการค้าขายทองคำในประเทศไทยเกิดการขยายตัวอย่างมาก
การเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษีสำหรับธุรกิจค้าทองคำ ภาษีโภคภัณฑ์, ภาษีการค้า, ภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)
การจัดเก็บภาษีในรูปแบบเดิมมีปัญหาในทางปฏิบัติ และก่อให้เกิดปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษีอย่างมาก ภาษีมูลค่าเพิ่มมีผลทำให้กำลังซื้อของประชาชน และความต้องการที่จะเปลี่ยนทองรูปพรรณใหม่ปรับลดลง เนื่องจากต้องเสียภาษีซ้ำซ้อน ส่งผลให้ธุรกิจการค้าทองคำไม่ขยายตัว
สมาคมฯ จึงเป็นตัวแทนผลักดันการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษี VAT โดยการให้ข้อมูล และเปรียบเทียบผลดีผลเสีย ซึ่งผลจากการที่สมาคมฯ ผลักดันในครั้งนั้น ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษีในรูปแบบใหม่ ที่เป็นมาตรฐานเดียวกับสากล โดยจัดเก็บภาษีเฉพาะส่วนต่างของมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากราคาทองคำแท่ง ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2543 และส่งผลทำให้ตลาดการค้าขายทองรูปพรรณของประเทศไทยเกิดการขยายตัวอย่างมากเช่นกัน
ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม และธุรกิจค้าทองคำ
การสร้างมาตรฐานเปอร์เซ็นต์ทอง 96.5% ทั่วประเทศ
นอกจากเรื่องการจัดระเบียบภาษีในวงการค้าทองคำแล้ว อีกหนึ่งผลงานที่ถือว่าสร้างความประทับใจให้กับร้านค้าทองคำทั่วประเทศก็คือ การร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในการสร้างมาตรฐานทองรูปพรรณให้มีเปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์ของทอง 96.5% เริ่มตั้งแต่ต้นทาง คือการควบคุมโรงงานผู้ผลิตหรือร้านค้าส่งทุกราย ให้ผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานตามที่กำหนด ไปจนถึงปลายทางก็คือร้านค้าปลีก โดยมีการสุ่มตรวจเปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์ของทองอยู่เสมอ ถือเป็นการตรวจจากต้นน้ำ เมื่อต้นน้ำดี ปลายน้ำย่อมดีตามไปด้วย
ทำให้ในปัจจุบัน ปัญหาทองเขียวหรือทองเปอร์เซ็นต์ต่ำที่พบบ่อยครั้งในอดีต หมดไปจากท้องตลาด ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นว่าจะได้รับทองรูปพรรณที่ได้มาตรฐาน แม้ว่าในช่วงแรกของการดำเนินงานจะมีแรงต้าน เพราะเห็นว่าการที่จะสร้างมาตรฐานเดียวกันนั้นยุ่งยาก แต่เมื่อผู้ค้าทองส่วนใหญ่เข้าใจว่าการปฏิบัติตามมาตรฐานแล้ว จะทำให้การค้าทองได้รับความน่าเชื่อถือ และส่งผลดีต่อการประกอบธุรกิจในอนาคต ผู้ประกอบการหลายรายก็เริ่มให้ความร่วมมือและเข้าร่วมในการดำเนินงาน
ในอดีตผู้บริโภคที่ต้องการจะซื้อทองก็จะมุ่งหน้ามายังเยาวราชเพราะเข้าใจว่าเป็นทองที่มีมาตรฐาน แต่เมื่อมีการจัดทำโครงการนี้ขึ้น มีเครื่องหมายที่ประกาศรับรองจาก สคบ. และ สคบ. มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงมาตรฐานดังกล่าว ก็ทำให้บรรดาร้านค้าทองทั่วประเทศมีผลประกอบกิจการค้าขายที่ดีขึ้น และทำให้เห็นชอบกับแนวทางการดำเนินงานของสมาคมค้าทองคำ
การให้ความคุ้มครองผู้บริโภคโดยการประกันราคารับคืนทองรูปพรรณ
สมาคมค้าทองคำ ได้ให้ความร่วมมือภาครัฐ ในการประชาสัมพันธ์ให้ร้านทองประกันราคารับซื้อคืนทองรูปพรรณของตัวเอง ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่า หากซื้อทองจากร้านนั้น ๆ และเมื่อนำมาขายคืน จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ทำให้ร้านทองเห็นด้วยกับแนวทางการดำเนินงานของสมาคมฯ ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค และทำให้การค้าขายทองคำของไทยมีความคล่องตัวขึ้น
การจัดการปัญหาทองปลอม
จากการที่มีกลุ่มมิจฉาชีพ ผลิตทองปลอมออกมาเพื่อหลอกขาย หรือขายฝากให้แก่ร้านทองทั่วไป ในรูปแบบของทองรูปพรรณเก่า โดยลักษณะพฤติกรรมของคนร้ายจะกระทำเป็นขบวนการ และมีความยากลำบากในการเอาผิด ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ก่อความเสียหายโดยภาพรวมจำนวนมหาศาล
สมาคมฯ จึงได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้นมาดูแลปัญหานี้ และได้ประสานงานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, สภาทนายความ ฯลฯ โดยที่ผ่านมาได้มีการทลายแหล่งผลิตทองปลอม และกลุ่มแก๊งต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง และยังได้จัดสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการทั่วประเทศ ในโครงการ “รู้ทันทองปลอม สัญจร” ซึ่งจัดไปยังภูมิภาคต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งปัจจุบันทำให้ปัญหาทองปลอมลดน้อยลงเป็นอย่างมาก
การกำหนดและประกาศราคาทองคำของประเทศไทย
สมาคมค้าทองคำ เป็นผู้กำหนดและประกาศราคาทองคำของประเทศไทย โดยได้รับการยอมรับเป็นราคาอ้างอิงกลางของประเทศไทย ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐเอกชน เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กรมสรรพากร ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
สมาคมค้าทองคำ มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการควบคุมราคาทองของสมาคมฯ คอยกำกับดูแลตลอดช่วงเวลาการซื้อขาย โดยการตัดสินใจปรับ ขึ้น-ลง ราคาทองคำในประเทศแต่ละครั้ง ทางสมาคมฯ จะพิจารณาองค์ประกอบของราคาทองคำในตลาดโลก ค่าเงินบาท อัตราค่า Premium รวมถึง Demand และ Supply ภายในประเทศเป็นสำคัญ โดยกล่าวได้ว่า ตลาดค้าทองคำของไทยนั้น เป็นตลาดที่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ และสามารถดำเนินไปด้วยกลไกตลาดอย่างแท้จริง