เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 เกิดเหตุการณ์การโจรกรรมวัตถุโบราณสุดสะเทือนใจชาวอียิปต์ขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่า สร้อยข้อมือทองคำโบราณอายุราว 3,000 ปี ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของฟาโรห์อาเมเนโมเป ได้ถูกลักลอบนำออกจากพิพิธภัณฑ์อียิปต์ (Egyptian Museum) กลางกรุงไคโร และถูกหลอมละลายจนไม่เหลือร่องรอยของความงดงามดั้งเดิมอีกต่อไป
สมบัติทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ที่หายไปตลอดกาล
สร้อยข้อมือดังกล่าว ถูกสร้างขึ้นในสมัยของ ฟาโรห์อาเมเนโมเป (Amenemope) กษัตริย์แห่งราชวงศ์ที่ 21 แห่งอียิปต์ มีอายุเก่าแก่ราว 3,000 ปี ตัวเรือนทองคำประดับด้วยอัญมณีลาพิสลาซูลี (Lapis Lazuli) ซึ่งเป็นหินสีน้ำเงินเข้มที่ชาวอียิปต์โบราณถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ และอำนาจเหนือธรรมชาติ
วัตถุโบราณชิ้นนี้ถือเป็นหนึ่งในสมบัติที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของพิพิธภัณฑ์อียิปต์ ซึ่งเก็บรักษาโบราณวัตถุกว่า 120,000 ชิ้น จากหลุมฝังศพของกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์อียิปต์โบราณ
คนในร่วมก่อเหตุ
จากรายงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและโบราณคดีอียิปต์ (Ministry of Tourism and Antiquities) การสืบสวนพบว่า ผู้ต้องสงสัยรายหลักคือ เจ้าหน้าที่ช่างบูรณะภายในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลวัตถุโบราณโดยตรง ได้ลักลอบนำสร้อยข้อมือออกจากห้องเก็บรักษา ก่อนจะนำไปขายให้เจ้าของร้านโลหะเงินในกรุงไคโร วัตถุโบราณดังกล่าว ถูกซื้อขายต่อหลายทอด โดยมีราคาซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 3,800 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 140,000 บาท) ก่อนจะถูกหลอมละลายเป็นทองคำรูปแบบอื่น ส่งผลให้ไม่สามารถกู้คืนสภาพเดิมได้อีกต่อไป
มาตรการสอบสวนและการจับกุม
ภายหลังได้รับรายงานเหตุการณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและโบราณคดีได้ดำเนินการสอบสวนทันที และส่งเรื่องต่อให้อัยการดำเนินคดี พร้อมสั่งการให้หน่วยงานความมั่นคงทุกระดับเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการลักลอบส่งออกวัตถุโบราณ
ต่อมา เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ทั้งหมด 4 ราย ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ ผู้ค้าโลหะ และผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการซื้อขายวัตถุโบราณอย่างผิดกฎหมาย ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาในความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินของรัฐและทำลายโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โดยเจ้าหน้าที่ได้ติดตามยึดคืนเงินที่ได้จากการจำหน่ายสร้อยข้อมือดังกล่าวแล้ว
การทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัย
เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้รัฐบาลอียิปต์เร่งทบทวนมาตรการดูแลรักษาวัตถุโบราณในพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศ โดยเตรียมปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัย การตรวจสอบบุคลากรภายใน และระบบติดตามวัตถุด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันอีกในอนาคต
เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความไม่พอใจอย่างกว้างขวางในสังคมอียิปต์ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ซึ่งมีผู้คนจำนวนมากแสดงความเสียใจและประณามการกระทำดังกล่าวว่าเป็น “การทำลายมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ” ที่ควรได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นสมบัติของคนรุ่นหลัง แต่กลับต้องสูญสลายไปอย่างไม่อาจหวนคืน

อ้างอิงข้อมูลจาก
CBS News: https://www.cbsnews.com/news/egypt-3000-year-old-golden-pharaoh-bracelet-stolen-museum-arrests/